Tuesday, April 24, 2012

8 สีสุดฮอตประจำงานแต่งปีนี้


          ไม่นานมานี้ เว็บไซต์ชื่อดังอย่าง www.pantone.com ที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้เซตเทรนด์หลักในเรื่องของสีที่ใช่ในวงการแฟชั่น และให้คำปรึกษาในการแมตช์สีต่าง ๆ ให้เข้าคู่กันมากว่า 45 ปี ได้ออกมาเปิดเผยถึงสีที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2012 นี้ ซึ่งก็คือ สีส้มแทนเจอรีน แทงโก้ นั่นเอง ทำให้ผู้ที่สนใจในวงการแฟชั่นหันมาจับตามองสีที่จะมาแรงในปีนี้กันเป็นพิเศษเลยทีเดียว

          และแน่นอนว่าสาว ๆ ที่กำลังวางแผนจะจัดงานแต่งงานก็ไม่ควรพลาดเทรนด์สุดฮิตนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ลองมาดูกันดีกว่า ว่าสีไหนจะเป็นสีจะมาแรงในงานแต่งปีนี้ และคุณควรจับคู่กับสีอื่น ๆ อย่างไร เพื่อให้งานออกมาดูดีที่สุด

1. สีส้มแทนเจอรีน แทงโก้ (Tangerine Tango Wedding Color Trend)
          สีนี้ได้รับเลือกให้เป็นสีที่จะฮอตที่สุดในปีนี้ จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่ชอบอัพเดตเทรนด์แฟชั่นเป็นที่สุด แถมสีนี้ยังช่วยให้งานของคุณดูสดใสมากขึ้น เพราะช่วยแสดงถึงความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวาแบบฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ สีที่เหมาะกับการจับคู่สีส้มแนวนี้ ได้แก่ สีน้ำตาล สีเขียวมรกต สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ สีชมพูบานเย็น และสีเหลือง



 2. สีเขียวมาการิต้าร์ (Margarita Green Wedding Color Trend)
          การตกแต่งดอกไม้ในงาน หรือชุดเพื่อนเจ้าสาวของคุณ ด้วยสีเขียวอ่อนนี้จะช่วยให้งานแต่งงานของคุณดูอบอุ่นอ่อนหวานมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สีที่ควรใช้จับคู่กับสีเขียวมาการิต้าร์ ควรเป็นสีที่ดูนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนกัน เพื่อให้งานแต่งงานของคุณดูโรแมนติกไร้เดียงสา ซึ่งสีเหล่านั้นได้แก่ สีเหลืองและสีชมพูอ่อน



3. สีน้ำเงินโซดาไลท์ (Sodalite Blue Wedding Color Trends)
          หากคุณอยากให้งานแต่งงานดูหรูหรามีระดับล่ะก็ สีน้ำเงินโซดาไลท์น่าจะเป็นสีที่เหมาะกับงานแต่งงานของคุณมากที่สุด เพราะเป็นสีที่ดูลึกลับและมีเสน่ห์น่าค้นหา ไม่ต่างไปจากสีของเครื่องประดับอัญมณี ทั้งนี้ ควรใช้คู่กับสีสว่าง ๆ เช่น สีขาวหรือสีชมพู เพื่อให้บรรยากาศไม่ดูเงียบขรึมเป็นทางการจนเกินไป



4. สีไลแลค (Sweet Lilac Wedding Color Trend)
          สาวหวานทุกคนที่ฝันอยากมีงานแต่งงานแบบเจ้าหญิงในเทพนิยาย จะต้องตกหลุมรักสีไลแลคอย่างแน่นอน เพราะเป็นสีหวาน ๆ ที่ผสมผสานสีม่วงอ่อนและสีชมพูเอาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ หากคุณอยากได้งานแต่งที่ดูโรแมนติกอ่อนหวานสไตล์เจ้าหญิง ก็ควรใช้สีนี้จับคู่กับสีเขียวอ่อนหรือสีฟ้าอ่อน อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการให้งานดูมีสีสันแบบฤดูร้อนขึ้นมาอีกนิด ก็สามารถนำไปจับคู่กับสีส้มแทนเจอรีนได้เช่นกัน



5. สีเปลือกไม้ (Driftwood Wedding Color Trends)
          สีนี้เป็นสีที่เหมาะกับงานแต่งหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นแนววินเทจ แนวศิลปะแบบรัสติก หรือจะใช้ตกแต่งงานแต่งริมชายหาดแบบง่าย ๆ ก็ดูสวยโดดเด่นไม่แพ้ใครเช่นกัน ทั้งนี้ สีนี้สามารถจับคู่ได้กับทั้งสีโทนสว่างและสีโทนมืด ขอเพียงแค่เข้ากับธีมงานแต่งแบบที่คุณต้องการก็เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ควรตกแต่งงานของคุณด้วยกิ่งไม้ หรือดอกไม้เอาไว้ด้วย เพื่อให้ดูเข้ากับสีธรรมชาติแบบนี้มากขึ้น



6. สีค็อกคาทู (Cockatoo Wedding Color Trends)
          สีที่ตั้งชื่อตามชื่อของนกแก้วค็อกคาทูนี้ เป็นสีที่มีดูสดใสไม่แพ้นนกแก้วตัวจริงแม้แต่น้อย เพราะเป็นสีที่รวมความสดใสของสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ กับความหรูหราอลังการของสีเขียวมรกตเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว เหมาะกับการแต่งงานทุกคอนเซ็ปต์ฤดู ไม่ว่าจะเน้นสีโทนร้อนเพื่อให้เหมาะกับฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ หรือจะจับคู่กับสีเรียบ ๆ เพื่อให้เข้ากับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวก็ดูดีไม่แพ้กัน



 7. สีชมพูบานเย็น (Cabaret Pink Wedding Color Trend)
          หากคุณกำลังมองหางานแต่งที่ดูสนุกสนานเป็นกันเอง และดูโรแมนติกหวานแหววด้วยในเวลาเดียวกัน สีชมพูบานเย็นจะเป็นสีที่เหมาะกับงานแต่งของคุณอย่างแน่นอน เพราะมีทั้งความอ่อนหวานน่ารักแบบเด็กผู้หญิงสไตล์สีชมพู และความร่าเริงในแบบของสีม่วงเข้มผสมผสานอยู่อีกด้วย อย่างไรก็ดี สีที่เหมาะกับสีนี้ได้แก่ สีขาว สีดำ สีทอง และ สีน้ำตาล นอกจากนี้ หากคุณต้องการงานแต่งแนวฤดูร้อนสดใส ก็สามารถนำนี้ไปจับคู่กับสีมาแรงประจำปี อย่างสีส้มแทนเจอรีนได้อีกด้วย



 8. สีเหลืองทานตะวัน (Solar Power Yellow Wedding Color Trends)
          เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับงานแต่งของคุณด้วยสีเหลืองสดใส ซึ่งเหมาะกับงานแต่งนอกสถานที่ เช่นงานแต่งในสวนเป็นที่สุด เพราะเป็นสีที่เหมาะกับการตกแต่งแนวธรรมชาติ ดังนั้น จะเหมาะกับที่ ๆ ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้และพุ่มไม้ต่าง ๆ ทั้งนี้ สีที่เข้าคู่กับสีเหลืองแบบนี้ได้ดีที่สุด คือสีเขียวมาการิต้าร์
          อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่านอกจากจะเลือกสีที่กำลังฮิตและแมตช์กันให้ถูกแล้ว คุณยังควรเลือกสีให้เหมาะกับอุปนิสัยของตัวคุณเองและเจ้าบ่าวของคุณด้วย เพื่อให้งานแต่งงาน แสดงออกถึงความชอบและไลฟสไตล์ของคุณทั้งคู่มากขึ้น

ที่มา: www.Kapook.com

5% Off for Bookings through Teerak Wedding Studio

ทริคดี ๆ สำหรับเจ้าบ่าว



งานแต่งงานเป็นวันพิเศษของว่าที่เจ้าบาว-เจ้าสาว ในขณะที่เจ้าสาวต้องเตรียมชุด เครื่องประดับ แต่งหน้าทำผม เจ้าบ่าวเองก็มีรายละเอียดปลีกย่อย ที่ต้องคำนึงถึง และใช้เวลาเลือกสรรอย่างพิถีพิถันไม่แพ้ชุดเจ้าสาวเลยทีเดียว มาดูกันค่ะ


Suit
สูทแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ
          1. สูทกระดุมสองเม็ดแถวเดียว คอเสื้อของสูทยาวลงมาเป็นรูปตัววี เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตด้านในมากกว่าสูทแบบอื่น เหมาะสำหรับเจ้าบ่าวร่างเล็กและมีส่วนสูงกะทัดรัด เพราะทำให้รูปร่างดูสูงขึ้น 
          2. สูทกระดุมสามเม็ดแถวเดียว ทำให้ดูมีช่วงตัวที่ยาวขึ้นเหมาะสำหรับเจ้าบ่าวที่มีรูปร่างสันทัด โดยมากแล้วมักออกแบบมาให้กลัดเฉพาะสองเม็ดบน แต่ถ้าเจ้าบ่าวรูปร่างสมาร์ทสูงใหญ่ไหล่กว้าง เลือกสูทแบบกระดุมสองเม็ดหรือสามเม็ดก็ดูดีได้ไม่ยาก
          3. สูทกระดุมสองแถว นึกถึงสูทของสุภาพบุรุษชาวอังกฤษนิยมซึ่งมีกระดุมทั้งหมดหกเม็ด แต่มักติดจริงเพียงสองเม็ด ตัวสูทแหวกด้านข้าง กระเป๋าล่างซ้ายขวามีฝาปิดและมีกระเป๋าเจาะที่หน้าอกหนึ่งที่ เหมาะกับเจ้าบ่าวที่รูปร่างผอม หากเจ้าบ่าวของคุณค่อนข้างเจ้าเนื้อ แต่ปักใจเลือกสูทแบบนี้ไปแล้ว ควรเลือกแพทเทิร์นสวยๆและตัดเย็บประณีต จะช่วยให้รูปร่างดูสง่าขึ้นได้


Shirt
แบ่งประเภทเสื้อเชิ้ตตามลักษณะของคอปกได้ดังนี้ 
          1. เสื้อเชิ้ตคอปกแหลม เหมาะกับคนที่มีรูปหน้าค่อนข้างกว้าง เพราะคอปกแบบนี้ ปลายจะยาวเรียวกว่าแบบอื่น ช่วยนำสายตาและทำให้รูปหน้าดูยาวขึ้น          2.เสื้อเชิ้ตคอปกกว้าง เป็นแบบของยุโรปที่ได้รับความนิยมที่สุด เหมาะกับเจ้าบ่าวที่รูปหน้ายาว เพราะจะทำให้ใบหน้าดูกว้างขึ้น
          3. เสื้อเชิ้ตปกติดกระดุม ปกเสื้อแบบนี้จะดูดีเมื่อใส่กับเสื้อนอกแบบสปอร์ต ใส่คู่กับเน็คไทและเบลเซอร์แบบลำลอง แต่ไม่ควรใช้กับสูทหรือในวาระที่เป็นพิธีรีตอง ถ้าจะใส่สำหรับงานแต่งงานก็ควรเป็นธีมงานสบายๆ ไม่เป็นทางการมากนัก


Necktie
เนคไทที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งขนาด ชนิดของผ้า และโทนสี จึงต้องจับคู่กันให้ดีระหว่างเสื้อเชิ้ต และสูทให้เข้ากัน
          เน็คไท แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ แต่ที่นิยมที่สุดคือขนาดกลาง ส่วนเนื้อผ้า สำหรับงานกลางคืนควรเลือกเน็คไทผ้าไหมที่มีความมันวาว แต่ถ้าเป็นงานกลางวันควรเลือกแบบเนื้อผ้าด้านๆ สำหรับสี ควรคำนึงถึงสีของเสื้อเชิ้ตและกาละเทศะเป็นสำคัญ ระวังอย่าให้สีเสื้อและสีเน็คไทตีกัน ถ้าเสื้อสีและสีเน็คไทอ่อนเหมือนกันยังดูแล้วไม่ขัดตา แต่ไม่ควรใช้สีสดๆทั้งคู่ เพราะนอกจากจะบดบังความเด่นกันเองแล้ว ยังดูไม่สวยงามเลยด้วย

Trousers
ลักษณะของกางเกงโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 แบบ 
          1. กางเกงแบบมีจีบ เหมาะสำหรับเจ้าบ่าวที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อและต้นขาใหญ่ จีบของกางเกงจะช่วยอำพรางและทำให้มีพื้นที่ของเนื้อผ้าช่วงหน้าขามากขึ้น ทำให้ใส่สบาย ไม่อึดอัด
          2. กางเกงแบบไม่มีจีบ เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะดูทันสมัยและโก้หรู เหมาะสำหรับเจ้าบ่าวที่มีรูปร่างดี ต้นขาไม่ใหญ่ กางเกงแบบนี้ช่วยให้รูปร่างดูสูงเพรียวขึ้นด้วย
          *โดยปกติแล้วเสื้อสูทกับกางเกง จะขายยกชุด ไม่มีการแบ่งขายหรือสลับขนาดกางเกงกับสูทถ้าคุณไหล่เล็กก็ให้เลือกสูทไซ ส์เล็ก ถ้าคุณไหล่กว้างก็ให้เลือกสูทไซส์ใหญ่ และหากกางเกงมีขนาดไม่พอดีกับรูปร่าง ควรส่งให้ช่างแก้เพื่อเก็บเข้าหรือขยายออก โดยสังเกตจากตะเข็บด้านหลังของขอบเอวกางเกงที่เผื่อไว้ให้แก้ออกได้อีก ส่วนความยาวของขากางเกง ให้นำรองเท้าที่จะใส่ไปลองด้วยจะได้พอดี ไม่สั้นและไม่ยาวเกินไป ลักษณะของกางเกงที่ดี ชายขาด้านหน้าจะสั้นกว่าด้านหลังประมาณครึ่งนิ้ว เพื่อเวลาใส่ชายกางเกงจะไม่กรอมหัวรองเท้า


Shoes
รองเท้ายอดนิยมสำหรับเจ้าบ่าวคือ รองเท้าออกซ์ฟอร์ด ควรเลือกใช้ 2 แบบต่อไปนี้ เพื่อความสุภาพและสง่างาม 

          1. รองเท้าออกซ์ฟอร์ดผิวมันแบบเรียบ เป็นแบบธรรมดา หนังเกลี้ยง มีรูร้อยเชือกสามถึงหกคู่ที่ด้านหน้า เป็นแบบที่นิยมมากที่สุด จุดที่ต้องเลือกสรรให้ดีคือหัวรองเท้า ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบหัวแคบและแบบหัวกลม ตามความสบายเท้าของผู้สวมใส่
          2.รองเท้าออกซ์ฟอร์ดแบบมีตะเข็บที่ปลายเท้า ต่างกับแบบเรียบตรงที่มีตะเข็บขวางตรงส่วนหัวรองเท้า หัวแคบ และหนังเป็นเงาวาวเช่นเดียวกับแบบเรียบ


Tuxedo
สำหรับงานเลี้ยงดินเนอร์ เจ้าบ่าวควรเลือกชุดทักซีโด ซึ่งมีแบบพื้นฐานอยู่ 3 แบบ คือ 
          1.ทักซีโดแบบปกไม่มีหยัก เป็นปกยาวโค้งลงมาจากคอโดยไม่มีหยักแหลม
          2.ทักซีโดแบบปกมีหยัก ลักษณะปกเหมือนเสื้อสูทธรรมดา
          3.ทักซีโดแบบปกแหลม เป็นแบบที่มีปกกว้างกว่าแบบอื่นมากมีให้เลือกทั้งแบบกระดุมแถวเดียวและสองแถว
          *ปกเสื้อต้องเป็นผ้าแพรซาติน หรือผ้าไหมชนิดเนื้อหยาบ ส่วนโบหูกระต่าย ต้องทำจากผ้าประเภทเดียวกัน หูกระต่ายคือสิ่งที่สำคัญพอๆ กับการเลือกเน็คไท สูททักซีโดที่นิยมใช้กันมี 2 แบบ คือ แบบปลายแหลมและแบบปลายมน การผูกหูกระต่ายแบบผีเสื้อเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ถ้าคุณผูกเองไม่เป็นก็มีแบบสำเร็จรูปให้เลือกและสวยงามไม่แพ้กัน


เทคนิคในการเลือกชุดเจ้าบ่าวให้เข้ากับรูปร่าง


เจ้าบ่าวตัวเล็ก ควรมองหาเสื้อนอกกระดุมแถวเดียวปกกว้าง ที่ติดกระดุมให้ต่ำหน่อย เพื่อช่วงตัวจะได้ดูยาวขึ้น หรือไม่ก็เป็นทักซีโด้กระดุมสองแถว และเลือกกางเกงตีเกล็ดซ้อนก็ดี สำหรับรูปร่างผอมบางและขากางเกงควรจะยาวคลุมครึ่งหนึ่งของรองเท้าพอดี
เจ้าบ่าวเตี้ยล่ำ ควรมองหาทักซีโด้ที่มีปกเสื้อเล็กหน่อย กระดุมเม็ดแรกของเสื้อที่มีช่วงไหล่ธรรมดา ไม่กว้างแบบยูโรเปี้ยนสไตล์ กางเกงตีเกล็ดซ้อนไปจนถึงกระเป๋ากางเกงจะช่วยให้ขาดูยาวขึ้น แต่ต้องแน่ใจว่าอย่าให้เกล็ดแตกตรงปลายขา ไม่อย่างนั้นขากางเกงจะบานเกินไป
เจ้าบ่าวสูงใหญ่ การเลือกซื้อเสื้อสูท เจ้าบ่าวควรยืนตรงโดยทิ้งแขนแนบลำตัวแบบสบายๆ ด้วยท่านี้ปลายนิ้วของเขาจะต้องตรงกับชายเสื้อเสื้อนอกพอดี และปลายแขนเสื้อเชิ้ตตัวในก็ควรจะยาวแลบออกนอกแขนเสื้อสูทประมาณครึ่งนิ้ว
เจ้าบ่าวที่มีลำคอหนาและใบหน้าใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงเนคไทเส้นบางและเสื้อเชิ้ตปีกตั้ง ตรงกันข้ามเขาอาจจะเลือกเสื้อเชิ้ตคอธรรมดา กับหูกระต่ายอันใหญ่ หรือไม่ก็ผูกเน็คไท ส่วนกางเกงก็ต้องเลือกเขากว้างหน่อย เพื่อให้เหมาะกับช่วงขานักกีฬาของเขา
เจ้าบ่าวหุ่นนายแบบ  เจ้าบ่าวหุ่นนายแบบดูดีกับสูททุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อนอกกระดุมสองแถว ทรงสอบไหล่กว้างเล็กน้อย หรือเสื้อสูทกระดุมสาม สี่ หรือกระทั่งห้าเม็ดก็ดูดี และเสื้อสูทที่ตัดให้ช่วงไหล่สูงจะดูดีมาก ๆ 


        ** เห็นไหมค่ะว่า เจ้าบ่าวก็มีรายละเอียดต่าง ๆ ไม่น้อยไปกว่าเจ้าสาวเลยทีเดียว ว่าที่เจ้าบ่าวต้องหาข้อมูลกันแล้วนะคะ **
 




















Groomsman Gifts at The Knot Wedding Shop

Monday, April 9, 2012

Short wedding dresses


หากพูดถึงชุดเจ้าสาว หลายๆ คน คงนึกถึงชุดสีขาว ยาวฟูฟ่อง ดูหรูหรา สไตล์เจ้าหญิง หากที่กล่าวมานี้ เป็นชุดที่หลาย ๆ คนคงเคยเห็นตามงานทั่วไป ไม่บ่อยนักที่เจ้าสาวบางท่านจะฉีกกฎข้อนี้ โดยเลือกชุดแต่งงานแบบสั้น สวยหวานแต่แอบเซ็กซี่เล็กน้อย ด้วยการโชว์เรียวขาสวยของคุณ อีกทั้งยังสะดวกในการเดินอีกด้วย เหมาะสำหรับเจ้าสาวทันสมัยเช่นคุณ

วันนี้เรานำชุดแต่งงานแบบสั้นหลากหลายรูปแบบมาให้ชมกัน เพื่อเป็นไอเดียในการเลือกชุดแต่งงาน สำหรับเจ้าสาวที่ต้องการเปลี่ยนสไตล์เป็นเจ้าสาวสวยเลิศ แบบมั่นใจ...








Headpieces น่ารักๆ สำหรับเจ้าสาว


Headpieces หรือเครื่องประดับผมน่ารักๆ หลากหลายรูปแบบ ที่สาวๆ นิยมนำมาติดตกแต่งทรงผม สร้างความเก๋ไก๋ให้กับทรงผมธรรมดาๆ ให้ดูน่ามองมากยิ่งขึ้น ดูเป็นสาวมั่นใจ และง่ายต่อการทำผมในเวลาที่จำกัด ในปัจจุบันสาว ๆ ที่ชื่นชอบเครื่องประดับเหล่านี้ ก็สามารถนำมาใช้กับวันสำคัญอย่างวันแต่งงานได้ดีทีเดียวค่ะ  Headpieces เริ่มเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับเจ้าสาวหลาย ๆ คน ที่อยากแปลงโฉมเป็นสาวหวาน ด้วยการนำเอา Headpieces สวย ๆ มาติดทรงผมเจ้าสาว อาจเพราะสามารถติดประดับได้กับทรงผมหลายสไตล์ ทั้งผมสั้น ผมยาว ผม ถักเปีย ผมรวบตึง หรือผมเกล้าหลวมๆ ไม่ว่าจะทรงใหนก็เข้ากันได้ดีค่ะ

          Headpieces มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งแบบที่เป็นดอกไม้เลิศๆ ดอกโตๆ เป็นโบว์แจ่ม ๆ ขนนกปิ๊งๆ หรือเป็นตัวนกน้อยใหญ่ก็มีค่ะ หรือจะเป็นหมวกดีไซน์สุดเลิศอลังการ ฯลฯ

วันนี้เรามาเอาใจสาวที่สนใจเกี่ยวกับ Headpieces น่ารักๆ หลากหลายรูปแบบ ที่เรานำมาให้ว่าที่เจ้าสาวเลือกสรร เพื่เป็นไอเดียในการ Headpieces ไปใช้ติดตกแต่งทรงผมเจ้าสาวสำหรับวันแต่งงานของคุณให้ดูหวานยิ่งขึ้น และสวยพร้อมสำหรับวันสำคัญๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องทรงผมอีกต่อไป เพราะคุณเป็นเจ้าสาวแสนเก๋ ได้เพียงแค่มีตัวช่วยตัวนี้... 















Wednesday, April 4, 2012

หลักสำคัญในการวางแผนเลือกซื้อ “เพชร”


แหวนหมั้นเพชรนั้นเป็นประเพณีนิยม ด้วยความเชื่อที่ว่า เพชร เป็นอัญมณีที่มีค่าสูงสุด เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรัก และแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ว่าที่เจ้าบ่าวมอบให้กับเจ้าสาวของเขา การเลือกซื้อแหวนหมั้นเพชรนั้นควรมีการปรึกษาร่วมกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ได้แหวนวงที่พิเศษสุ ที่เป็นตัวแทนแห่งความรักนิรันดร์สำหรับเราสองคน


หลักสำคัญในการวางแผนเลือกซื้อ เพชร

1. ตั้งงบประมาณหลัก
งานนี้คงต้องเป็นภาระของคุณผ้ชายเป็นหลักที่จะต้องมีงบประมาณในการแต่งงานไว้ในใจแล้ว ตั้งแต่วันที่คิดจะแต่งงาน คุณต้องทำการจัดสรรงบนั้นออกเป็นส่วน ๆ ให้ชัดเจน อาจแบ่งงบออกเป็น เงินสินสอด ค่าแหวนหมั้น ค่าของหมั้นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง หรือสร้อยเพชรต่างหูเพชร เมื่อทราบแล้วว่ามีงบเท่าไหร่สำหรับแหวนหมั้น ก็พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนต่อไป

2. ออกสำรวจ
เพชรของแต่ละร้านมีคุณภาพและราคาแตกต่างกันไป แต่สำหรับเพชรที่มีมาตรฐานเดียวกัน จะมีราคาใกล้เคียงกัน คุณควรตระเวนดูเพชรตามร้านเพชรต่าง ๆ เพื่อทำการเทียบราคาเพชรและดูแบบที่ชอบ ถ้ามีเวลาแนะนำให้เลือกเพชรเป็นเม็ด แล้วสั่งทำตัวเรือนโดยเฉพาะเพื่อที่คุณจะได้เลือกเพชรเม็ดที่ชอบที่สุด ได้เลือกตัวเรือนแบบที่ถูกใจ และได้ขนาดแหวนที่พอดีกับนิ้วคุณมากที่สุด ซึ่งการสั่งทำตัวเรือนนั้นกินเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น

3. เลือกเพชร
การซื้อเพชรถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมูลค่าของมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งเป็นเพชรของขวัญแต่งงานแล้ว ยิ่งมีคุณค่าทางใจมากเข้าไปอีก ดังนั้น คุณจึงควรใส่ใจเรื่องการเลือกเพชรให้มาก เพื่อที่คุณจะได้เป็นเจ้าของอัญมณีล้ำค่านี้ อย่างมีความสุขที่สุด โดยขอใบรับประกันทุกครั้ง สำหรับการเลือกซื้อหลักการเลือกเพชรนั้นยึดตาม คุณลักษณะสำคัญ 4 ประการ หรือที่รู้จักกันว่า หลัก 4Cs อันได้แก่

สี (color)
เพชรสีที่นิยมมากที่สุด คือ สีขาว อย่างไรก็ดีในเพชรสีขาวก็ยังมีการจำแนกระดับความขาวออกเป็นระดับต่าง ๆ ถึง 20 ระดับ เพื่อแบ่งเกรดเพชร และมีผลต่อราคา โดยเริ่มจาก D ไปจนถึง Z โดยระดับ D คือ ระดับสีเพชรที่ไร้สี และมีมูลค่าสูงที่สุด

Color (สี)

เพชรจะมีสีธรรมชาติหลากหลายเฉดมีตั้งแต่ขาวใสไร้สีซึ่งหายากและมีค่าที่สุดไปถึงสีเหลืองจางๆ โดยมีเฉดสีอ่อนแก่ระหว่างกลางมากมายเพชรยิ่งมีสีน้อยเท่าไรยิ่งอำนวยให้แสงสีขาวสามารถวิ่งผ่านเนื้อภายในได้สะดวกและจะสะท้อนประกายไฟสีรุ้งบนผิวหน้าเพชรได้สวยงามมากขึ้นเท่านั้น

ฉะนั้นการแยกสีเพชรสีขาวกับเพชรที่ติดเหลืองเล็กน้อยซึ่งมีผลกระทบต่อราคา ทางสถาบัน GIA จึงได้กำหนดมาตรฐานการเทียบสีเพชรไว้ ซึ่งการเทียบสีเพชรโดยสายตามนุษย์ไม่สามารถแยกความละเอียดสีขาวและสีขาวติดเหลืองเล็กน้อยออกมากได้ จึงต้องเทียบสีกับ Master Stone โดยนักอัญมณีศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น



จาก Scale จะพบว่าสีจะเรียบลำดับจากสี D ไปจนถึง Z โดยแบ่งเฉดสีตามช่วงดังนี้
D-F Colorless (ขาวบริสุทธิ์)
G-J Near Colorless (ขาวติดเหลืองจางมากๆ)
K-M Faint Yellow (ขาวติดเหลืองจางๆ)


การเจียระไน (Cutting)
ประกายเพชรระยิบระยับที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากฝีมือการเจียระไนของช่างผู้เชี่ยวชาญการเจียระไนเพชรยังก่อให้เกิดรูปทรงเพชรที่แตกต่างกันไป ซึ่งรูปทรงเพชรก็เป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดราคาเพชรเช่นกัน โดยทรงกลม และทรงหัวใจจะมีราคาสูงสุดตามลำดับ

   Cut (การเจียระไน)

มีหลายคนเข้าใจสับสน ระหว่างการเจียระไนกับรูปทรงของเพชรอันที่
จริงการเจียระไนเพชรจะหมายถึงการจัดวางหน้าเหลี่ยมต่างๆของเพชร 
ดังนั้นเมื่อกล่าวว่าเพชรเจียระไนดี ไม่ว่าจะเป็นรูปใดจะหมายถึงฝีมือ
การเจียระไนเหลี่ยมที่ถูกต้องได้สัดส่วนของช่างเจียระไนฝีมือเอก 
ทั้งนี้เพราะเพชรที่เจียระไนดีจะมีการเล่นแสงได้อย่างแพรวพราว
ระยิบระยับจับตาและทวีค่ายิ่งขึ้น และทำให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจ
ฉะนั้นการเจียระไนเพชรที่ได้สัดส่วนที่ดีจึงมีความสำคัญมาก
 

การเจียระไนเพชรมีรูปแบบต่างๆกัน แต่โดยทั่วไปเพชรจะนิยมเจียระไนเป็นรูปทรงกลม เพชรทรงกลมมักนิยม
เจียระไนเป็นเหลี่ยม Round Brilliant Cut หรือเหลี่ยมเกสร เนื่องจากเพชรที่เจียระไนแบบนี้จะมีการกระจายแสงที่
สมบูรณ์แบบมาก โดยมีเหลี่ยมมากถึง 58 เหลี่ยมต่อเพชรหนึ่งเม็ด

ในการพิจารณาว่าเพชรเม็ดนั้นเจียระไนดีหรือไม่นั้นต้องพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบ
1. ขนาดเทเบิล(Table Size) ที่ใหญ่หรือเล็กเกินไปจะมีผลต่อการกระจายแสงของเพชร

2. มุมคราวน์(Crown Height) ที่มีความสูงไม่สมดุลกับมุมสะท้อนแสงจะมีส่วนทำให้การกระจายแสงลดน้อย

 
3. ความลึกพาวิเลี่ยน(Pavilion Dept) ที่มีการเจียระไนที่ดี แสงจะสะท้อนขึ้นทุกมุม ทำให้การกระจายแสงดี แต่ถ้า
เจียระไนบางเกินไปแสงจะทะลุออกด้านล่างหรือถ้าเจียระไนหนาเกินไปจะทำให้ไม่มีแสงสะท้อนทำให้เพชรจะดูมืด 

(Nail Head)


ซึ่งค่าทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดยนักอัญมณีศาสตร์และบันทึกผลที่ได้ลงใน Certificates ซึ่งผลที่ได้ทั้งหมดจะ
นำมาสรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายต่อบุคคลทั่วไป โดยจะเรียงลำดับจาก เจียระไนดีมาก (Very Good), 
เจียระไนดี(Good), เจียระไนพอใช้(Fair) 


ความบริสุทธิ์ (Clarity)
เพชรทุกเม็ดมีตำหนิอันเป็นร่องรอยจากธรรมชาติซึ่งอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือต้องมองผ่านกล้องขยายกำลังสูงเท่านั้น เพชรบริสุทธิ์ไร้ที่ติจะพบได้ยากมากและมีราคาสูงมาก โดยมากตำหนิของเพชรนั้นมักไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คุณจึงสามารถเลือกเพชรในระดับเกรดที่มีตำหนิอยู่บ้าง เพื่อช่วยประหยัดงบลงได้

Clarity (ความบริสุทธิ์)
เพชรส่วนมากจะมีริ้วรอยตำหนิเล็กน้อย จึงเปรียบเสมือนลายนิ้วมือธรรมชาติสรรสร้างเอกลักษณ์ของเพชรแต่ละเม็ด กระนั้นก็มิได้ทำให้เพชรด้อยความงาม หรือลดความแข็งแกร่งลงแต่อย่างใด แต่ทว่ายิ่งมีริ้วรอยน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งจะทำให้แสงผ่านมากขึ้น ทำให้เพชรทอประกายเจิดจ้าระยิบระยับขึ้น เพชรจึงเหนือกว่าอัญมณีอื่นใดเพราะสามารถทอประกายแสงได้สุกใสงดงามที่สุด วิธีพิจารณาความสะอาดของเนื้อเพชร ต้องใช้กล้องขยาย 10 เท่าและตรวจสอบโดยนักอัญมณีศาสตร์เท่านั้น
GIA
Image
Description
IF (Internally Flawless)
หมายถึงเพชรที่สะอาดที่สุด คือ ไม่มีรอยตำหนิใดๆ
VVS1-VVS2
(Very Very Slightly Inclusions)
หมายถึงเพชรที่มีตำหนิน้อยมากๆ ซึ่งยากมากๆ แก่การมองเห็นภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า
VS1-Vs2
(Very Slightly Inclusions)
หมายถึงเพชรที่มีตำหนิน้อย ซึ่งยากแก่การมองเห็นภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า
SI1-SI2 (Slightly Inclusion)
หมายถึงเพชรที่มีตำหนิ ซึ่งจะเห็นตำหนิได้ง่ายภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า และอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าในบางเม็ด


น้ำหนักกะรัต (Carat)
คนมักเข้าใจว่า กะรัตหมายถึงขนาดของเพชร แท้จริงแล้วกะรัตเป็นหน่วยวัดน้ำหนักเพชรโดย 1 กะรัตมีค่าเท่ากับ 200 มิลลิกรัม และเทียบเท่า 100 สตางค์ เพชรที่มีขนาดใหญ่จะพบได้ยากและมีราคาแพง อย่างไรก็ดีมูลค่าของเพชรไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเพียงอย่างเดียวแต่ต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ที่กล่าวมาด้วย

Carat (กะรัต)
 
น้ำหนักของเพชรจะวัดเป็นกะรัต หนึ่งกะรัตแบ่งออกเป็น 100 สตางค์ดังนั้นเพชรขนาด 0.75 กะรัตจึงมีน้ำหนักเท่ากับ 75 สตางค์ ขนาดกะรัตเป็นตัวตัดสินมูลค่าของเพชรที่เด่นชัดที่สุด แต่สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอก็คือเพชรสองเม็ดที่มีขนาดกะรัตเท่ากันอาจมีมูลค่าแตกต่างกันอย่างมากก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจียระไน สีและความสะอาด


0.50ct
5.2mm
0.75ct
5.8mm
1.00ct
6.5mm

1.50ct
7.4mm

2.00ct


4. รูปแบบตัวเรือน
ในการเลือกดีไซน์ของตัวเรือนนั้น ควรเลือกที่ความพอใจของคุณเองและลองดูว่าวัสดุใดที่เข้ากับผิวของคุณมากที่สุด วัสดุที่แนะนำสำหรับการทำตัวเรือน ได้แก่ ทองคำ ทองคำขาว และแพลตินั่ม ซึ่งอันที่จริงวัสดุที่ใช้ในการทำตัวเรือนนั้นมีผลต่อการเลือกเพชรของคุณด้วยเช่นกันถ้าคุณเลือกตัวเรือนเป็นทองคำ คุณอาจไม่ต้องเลือกเพชรน้ำดีมากเพราะอย่างไรก็ตาม เงาสะท้อนของสีทองจะตกกระทบที่เพชร ทำให้เพชรดูไม่ขาวอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ควรใส่ใจในความประณีตของการทำตัวเรือนด้วยเพื่อให้ได้แหวนวงพิเศษที่สมบูรณ์แบบที่สุด

Tips
  •  ในการเลือกเพชรนั้น ควรมองหาทางเลือกที่หลากหลายด้วยการขอให้ร้านนำเพชรออกมาทุกแบบ ทุกรูปทรง เพื่อคุณจะได้ทำการเลือกซื้ออย่างพอใจที่สุด
  •  คุณสามารถขอรับใบรับประกันคุณภาพสำหรับเพชรที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 30 สตางค์ขึ้นไปได้จากร้านเพชรของคุณ
  •  ทดลองสวมแหวนเพชรที่มีความบริสุทธิ์ต่างกัน คุณอาจค้นพบว่าความบริสุทธิ์และรอยตำหนินั้น ไม่มีผลต่อประกายความงดงามของเพชรเลยในสายตาของคุณ วิธีนี้จะช่วยให้คุณประหยัดได้ด้วย