Wednesday, December 21, 2011

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส




         ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาสที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่พี่ไทยซะอย่าง ฉลองได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะไปฉลองกัน ลองมารู้จักกับวันคริสต์มาสก่อนดีไหม

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม



องค์ประกอบในงานคริสต์มาส
ซานตาครอส

เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง



 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก

          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส



ต้นฮอลลี่



          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์





ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia


          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส

 
ดอกคริสต์มาส Christmas Rose          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง
เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

คำอวยพรวันคริสต์มาส          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย


         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้


 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข



 ดาว

          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ



 ของขวัญวันคริสต์มาส
                    
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- wikipedia.org
- ru.ac.th
- educatepark.com
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

Wednesday, December 14, 2011

ของชำร่วยงานแต่งงาน


"ของชำร่วยงานแต่งงาน" ถือเป็นตัวแทนของคำกล่าวขอบคุณ ที่คู่บ่าวสาวจะมอบให้กับแขกทุกคนที่มา ร่วมงาน เก็บไว้เป็นที่ระลึก เพื่อให้วันพิเศษนี้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป ฉะนั้น อาจต้องให้ความ สำคัญเป็นพิเศษกับการเลือกของชำร่วยแต่ละชิ้นที่ต้องสื่อความหมายดีๆ เป็นมงคลกับชีวิตคู่ที่กำลังเริ่มต้น  ในการคัดสรรของชำร่วย ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป เป็นของที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย เป็นของ ที่ไม่แตกหักเก็บรักษาง่าย หากคู่บ่าวสาวเลือกของชำร่วยที่เป็นของกิน ก็ต้องบรรจุอยู่ในภาชนะที่ปิดมิดชิด ไม่สามารถหกเละเทะได้หรือเลอะเทอะติดมือ และที่สำคัญของชำร่วยแต่งงาน ไม่ควรจะเป็นสีดำ เพราะสิ่ง ของที่คู่บ่าวสาวตัดสินใจเลือกให้มาเป็นของชำร่วยงานแต่งงานนั้น คือสิ่งที่ทำให้แขกหรือผู้ที่มางานได้ ระลึกถึงช่วงเวลาอันเป็นมงคล ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของคู่บ่าวสาว

เทียนหอมเก๋ๆ ของชำร่วยน่ารัก 



ถุงผ้าลดโลกร้อนแสนเก๋


 

น้ำผึ้งแสนหวาน


 

ร้องเท้าคู่รัก เพราะเราคู่กัน





สบู่แสนหอมแปลกตา





และของกิ๊ฟช็อปเก๋ไก๋



 

เค้กแต่งงาน


เค้กแต่งงาน ถือเป็นขนมมงคลที่มีความสำคัญในพิธีแต่งงานมาตั้งแต่อดีตกาล โดยมีความเป็นมาจากในสมัยกรีก-โรมัน เมื่อ 5,000  ปีมาแล้ว ซึ่งสมัยนั้นเมื่อมี พิธีแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องนำผลไม้และขนมปังมาเป็นเครื่องบรรณาการ บวงสรวงเทพเจ้า เพื่อขอพรให้ชีวิตของทั้งคู่ครองรักกันอย่างมีความสุข ผู้ที่เป็นแขกรับเชิญต่างก็พร้อมใจกันพกพาขนมปัง ของตนเองมาร่วมในพิธี โดยนำมาวางเรียงกันเป็นกองๆ  แล้วให้คู่บ่าวสาวจุมพิตกัน เหนือกองขนมปังดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักที่ทั้งสองมีต่อกัน พร้อมประกาศว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปฉันและเธอจะรักและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดไป  ต่อมารูปแบบของขนมปังก็เปลี่ยนไป เมื่อพ่อครัวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งได้นำน้ำตาลและครีมที่มีอยู่ในครัว มาตกแต่งบนกองขนมปังที่แสนจะธรรมดานั้นให้สวยงามยิ่งขึ้น และตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "ขนมเค้ก"



นอกจากเค้กแต่งงานจะมีความหมาย ถึงความรักที่คู่บ่าวสาวมีให้แก่กันแล้ว ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของการแต่งงานเลยทีเดียว ทั้งนี้ เพราะชาวยุโรปเชื่อว่าเค้กแต่งงานชิ้น แรกที่คู่บ่าวสาวตัด และนำมาป้อนให้แก่กันและกันนั้น คืออาหารมื้อแรกที่ทั้งคู่ได้แบ่งปันให้แก่กันในฐานะคู่ชีวิต โดยเฉพาะ ถ้าเค้กดังกล่าวถูกทำขึ้นด้วยฝีมือของแม่เจ้าบ่าว หรือแม่เจ้าสาวความหมายและความศักดิ์สิทธิ์ของเค้กแต่งงานก็จะยิ่งทวีค่าเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว


ในปัจจุบันเค้กแต่งงานเข้ามามีบทบาทในการสร้างสีสันในกับงานแต่งงาน โดยคู่บ่าวสาว จะเน้นเลือกเค้กแต่งงานให้เข้ากับสีสันของธีมงานแต่งงาน ที่มีความโดดเด่นบ่งบอกถึงรสนิยมขงคู่บาวสาวได้เป็นอย่างดี





และ อีกทางเลือกของคู่บ่าวสาวที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ไม่ซ้ำแบบใคร  "คัพเค้กงานแต่งงาน" สีสวยหวาน สดใส น่ารับประทาน มีรูปแบบให้เลือกมากมาย เป็นทางเลือกที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ค่ะ





Monday, December 12, 2011

แบบทรงผมเจ้าสาวง่าย ๆ แต่โดนใจ


แบบทรงผมเจ้าสาว



          ทรงผมแต่งงาน เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่เจ้าสาวให้ความสำคัญมาก ๆ ต้องมีการลองทำทรงผมดูว่าแบบไหนถึงจะเข้ากันดีกับตัวเอง แบบไหนที่จะทำให้กลายเป็นสาวสวยที่สุดในงาน ดังนั้น จึงไม่แปลกหากเจ้าสาวจะเป็นกังวลเล็กน้อย เมื่อยังตัดสินใจหรือเลือกแบบทรงผมเจ้าสาวไม่ได้

          วันนี้ กระปุกเวดดิ้งเลยนำเอาทรงผมแต่งงาน แบบทรงผมเจ้าสาว สไตล์ต่าง ๆ ทั้งผมสั้น ผมยาว ผมเกล้า ผมเปีย มาฝากคุณเจ้าสาว เผื่อเป็นไอเดียดี ๆ ค่ะ แต่อันดับแรกเจ้าสาวควรต้องรู้ก่อนว่าตัวเองมีรูปหน้าแบบไหน ใบหน้ากลม ใบหน้าเหลี่ยม ใบหน้ารูปไข่ หรือใบหน้ายาว จากนั้นเมื่อเจอทรงผมแต่งงานที่ถูกใจแล้ว ลองนำไปให้ช่างทำผมดูว่า คุณสามารถทำทรงนี้ได้หรือไม่ อย่างไร ทางที่ดีควรลองทำดูเลยก็ได้ หากออกมาไม่งาม จะได้เลือกทรงใหม่ ...


แบบทรงผมเจ้าสาว

แบบทรงผมเจ้าสาว



เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก weddingwire.com และ greenweddingshoes.com

ยลโฉมชุดแต่งงานเบลล่า ใน แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค 4

จากกระแส หนังภาคต่อมาแรงอย่าง แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค 4 ที่ทุกคนเฝ้ารอ บางท่านอาจมีเวลาไปดูกันมาแล้ว สำหรับสาว ๆ คงสะดุดตากับชุดแต่งงานของเบลล่า นางเอกของเรื่องในฉากแต่งงานแน่นอน ซึ่งฉากนี้ได้สร้างภาพชวนฝันให้กับว่าที่เจ้าสาวเกือบทั่วโลกเลยค่ะ :)

ชุดแต่งงานเบลล่า 

มาแรงสมกับเป็นภาพยนตร์ที่ใครหลาย ๆ คนรอคอย สำหรับ The Twilight Saga : Breaking Dawn Part I หรือ แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค 4 ที่เพิ่งเข้าฉายไปได้ไม่นาน แต่กลับสร้างปรากฏการณ์ทำเงินจากทั่วโลกจำนวนมหาศาล และนอกจากเนื้อเรื่องที่เข้มข้น หวาน ซึ้ง ปนเศร้า แอบดราม่านิด ๆ ชวนให้ติดตามแล้ว

          สิ่งหนึ่งที่เหล่าบรรดาคอหนังพูดถึงไม่แพ้กัน คงหนีไม่พ้นฉากแต่งงานแสนหวานระหว่าง เอ็ดเวิร์ด (โรเบิร์ต แพททินสัน) และ เบลล่า (คริสเต็น สจ๊วต) ที่ทำให้สาว ๆ อยากเป็นเบลล่า ในขณะที่หนุ่ม ๆ ก็อยากแปลงร่างเป็นแวมไพร์ขึ้นมาซะงั้น รวม ถึงชุดแต่งงานที่ เบลล่า สวมใส่ในพิธีแต่งงาน ซึ่งสร้างภาพชวนฝันให้กับว่าที่เจ้าสาวเกือบทั่วโลก ว่าอยากจะลองสวมใส่ชุดเจ้าสาวแบบเธอบ้าง (จริงไหม)

ชุดแต่งงานเบลล่า


ชุดแต่งงานเบลล่า

          ทั้งนี้ ชุดแต่งงานเบลล่า (ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ) ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง "Carolina Herrera" เป็นชุดแต่งงานผ้าซาตินสีขาว แขนยาว สไตล์วินเทจ ตกแต่งด้วยลูกไม้จากฝรั่งเศส อีกทั้งยังแอบเซ็กซี่ด้วยการโชว์เรือนร่างและแผ่นหลัง แถมยังมีกระดุมประดับตกแต่งเพื่อเพิ่มความเก๋ บริเวณแขนเสื้อและด้านหลังอีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม ล่าสุด Carolina Herrera ได้บรรจุ ชุดแต่งงานเบลล่า ลงในคอลเลชั่นปี 2012 ของเธอด้วย โดยเธอตั้งใจจะนำมาวางขายช่วงต้นปีหน้า ในราคา 799 เหรียญ

         เอ้า...สาว ๆ คนไหนกำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ ลองนำ ชุดแต่งงานเบลล่า ไปเป็นหนึ่งไอเดียก็ได้นะคะ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก มงคลเมเจอร์ และ เฟซบุ๊ก The Twilight Saga  

 

Friday, December 9, 2011

7 เทรนด์ชุดเจ้าสาวที่มาแรงที่สุดปี 2012

สำหรับปี 2012 ที่กำลังจะมาถึงนี้ หลายแบรนด์และดีไซเนอร์ชื่อดังซึ่งต่างก็เป็นระดับ Fashion Trendsetter ของวงการ ต่างก็ออกคอลเลคชั่นใหม่ๆกัน สร้างกระแสให้กับวงการชุดแต่งงานไม่น้อยทีเดียว วันนี้ เราขอรวบรวม 7 เทรนด์ใหม่ล่าสุดของแฟชั่นชุดแต่งงาน ชุดเจ้าสาวใหม่ๆบนเวทีแฟชั่นวีคต้อนรับปี 2012 กันค่ะ
1. Sheer fabrics & Multi-layered
แฟชั่นผ้าบางพลิ้วสร้างความอ่อนหวาน และดูสวยงามในยามเคลื่อนไหว Vera Wang ประสบความสำเร็จอย่างมากใน Collection ล่าสุด กับการวางผ้าแบบ Multi-layered โดยใช้ผ้าลักษณะ sheer fabric คือเน้นผ้าที่มีเนื้อบางเบา เน้นงานวางผ้าให้มีมิติ เพื่อให้เจ้าสาวดูมีความทันสมัย และมีรสนิยม

หรือผลงานล่าสุดของ Monique Lhuillier ที่ใช้การวางผ้าที่ซับซ้อน สร้างเอกลักษณ์ให้กับเจ้าสาวยุคใหม่
2. Sleeves
ชุดเจ้าสาวแบบมีแขน ทั้งแบบแขนสั้น หรือแขนยาว ในคอนเซปต์ more is more คือซับซ้อนแต่เก๋ไก๋เหนือความคาดหมาย อย่างสไตล์ชุดของเจ้าหญิงเคท (Kate Middleton) ที่ออกแบบโดย Sarah Burton ดีไซเนอร์ในเครือ Alexander Mcqueen เป็นชุดที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับว่าที่เจ้าสาวจำนวนไม่น้อยกับชุดในสไตล์เจ้าหญิง แขนยาวคอตั้งผ้าลูกไม้ ช่วงบนปักมุกและคริสตัลแวววาวประดับประดาดูหรูหราสง่างามรับกับกระโปรงทรงบอลกาวน์ 

หรืออย่างเช่นชุดมีแขนลูกไม้ของ Pronovias by Ellie Saab ดีไซเนอร์คนดัง คอลเลคชั่น Spring 2012 สวยงามและชวนฝันในสไตล์ชุดมีแขนสุดหรู

3. Cool cover-ups 
ชุดเจ้าสาวแบบมีเสื้อคลุม หรือคาร์ดิแกนแบบถอดได้ อาจเป็นเสื้อคลุมจากผ้าลูกไม้หรือผ้าบางเบาก็ได้ที่นำมาสวมทับชุดวิวาห์ตัวในไว้ ทำให้รวมสองอารมณ์เข้าไว้ในชุดเดียว อย่างชุดของ Alma Novia by Rosa Clara ที่ตัดเย็บชุดด้วยผ้าออร์แกนซ่าจับเดรปอกดูเรียบ เก๋ แต่เมื่อสวมทับด้วยเสื้อคาร์ดิแกนลูกไม้แบบเปิดไหล่สุดหรู ก็กลายเป็นเจ้าสาวแนวหวานขึ้นมาในพริบตา

4. Different Color
ชุดแต่งงานไม่จำเป็นต้องเป็นสีขาวเท่านั้น แต่คุณยังสามารถเลือกสีที่แตกต่างในแนววินเทจ (Vintage Look) ได้ด้วย เช่น โทนสีทอง สีแชมเปญ สีเบจ เช่นงานแฟชั่น Spring 2012 Bridal Collection ของ Vera Wang ที่ใช้ตัดเย็บและตกแต่งด้วยผ้าTulle และไหมออร์กันดี้สีทองแชมเปญทั้งชุด ดูสวยแปลกตาและหรูหราไม่เหมือนใครเลยทีเดียว
รวมไปถึงสีสันสดใสในโทนพาสเทล อย่างสีชมพู ฟ้า เหลือง เช่นชุดเจ้าสาวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดของ Atelier Aimee ห้องเสื้อที่นิยมชุดแต่งงานแนววินเทจสีสัน ที่ปีนี้ตั้งใจใช้สีเขียวพาสเทลเป็นธีม สร้างความแปลกใหม่ไม่จำเจให้วงการแฟชั่นชุดเจ้าสาว

5. Bold Straps
ชุดเจ้าสาวสไตล์ที่มี Neckline คือแบบมีคอ ไม่ว่าจะเป็นชุดคอเหลี่ยมที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสมดุลให้เจ้าสาวสะโพกใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้ลำตัวดูเพรียวมากขึ้น เช่นสไตล์ชุดใหม่ของ Pronovias ที่วางสายผ้าลูกไม้เป็นแขน และตัดเย็บใส่รายละเอียดทั้งชุดด้วยผ้าลูกไม้ผสมผ้าTulle หรือแนวชุดคอวีที่ช่วยให้รูปร่างเจ้าสาวดูสูงเพรียวมากยิ่งขึ้น ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้เนื้อหนาลายละเอียดในสไตล์หางปลา ด้านหลังทิ้งชายยาว เหมาะมากกับเจ้าสาวที่มีเอว และสะโพกผาย

6. Short Skirts
ชุดเจ้าสาวในแบบกระโปรงสั้น ด้วยความยาวหลากหลายที่คุณสามารถเลือกได้ทั้งแบบยาวคลุมเข่า หรือสั้นเหนือเข่า อย่างชุดเจ้าสาวของ Marchesa ดีไซน์ที่มากระโปรงสั้นทันสมัยในทรงต่างๆ ใช้ลูกเล่นด้วยเนื้อผ้าพลิ้วไหวอย่างผ้า Tulle หรือไหมชีฟอง ผสมกับลูกไม้เนื้อละเอียด เหมาะกับงานแต่งงานที่ไม่เป็นทางการนัก ในบรรยากาศสบายๆ outdoor อย่างในสวน หรือริมทะเล

7. Couture flowers
ชุดแต่งงานที่ตกแต่งด้วยผ้าทีมีลวดลายดอกไม้ดูโดดเด่น ทำด้วยผ้าที่มีน้ำหนักอย่างผ้าไหมพิมพ์ลายเป็นดอกไม้ผลิบาน หรืองานตกแต่งด้วยดอกไม้ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณช่วงอก หรือบนกระโปรง อย่างชุดเจ้าสาว Collection 2012 สดๆจากรันเวย์ของ Oscar de la Renta สื่อถึงความเป็นผู้หญิงเอาซะมากๆ กับคอนเซปต์ Flower is a symbol of innocence

หากคุณเป็นเจ้าสาวสมัยใหม่ที่ตามกระแสแฟชั่นอยู่ไม่น้อย เทรนด์ชุดเหล่านี้คงเป็นไอเดียดีๆในการเลือกสรรชุดแต่งงานที่เหมาะสม และควรคู่กับวันสำคัญที่สุดของคุณ