Wednesday, April 4, 2012

Wedding Gloves for Bride


เจ้าสาวหลายท่านมีเหตุผลที่ต่างกันไป ในการเลือกชุดแแต่งงาน เครื่องประดับ สำหรับเจ้าสาวที่หลงไหลในการสวมถุงมือเจ้าสาวในวันแต่งงานอาจต้องการให้ดูหรูหรา และสง่างามเหมือนเจ้าหญิง บางท่านใส่เพื่อทำตามประเพณีหรือพิธีการ เช่นการเข้าโบสถ์ตามศาสนาคริสต์ แต่ในการสวมถุงมือนั้น มีประโยชน์อย่างหนึ่งที่เราควรทราบ คือ ถุงมือช่วยซับเหงื่อที่มือของเจ้าสาว หรือป้องกันไม่ให้ความมันบริเวณนิ้วมือของเจ้าสาวไปสัมผัสกับชุดเจ้าสาวโดยตรง เพราะความมันจะทำให้ชุดเจ้าสาวเสียหายได้ 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับถุงมือเจ้าสาว

การวัดขนาดของถุงมือเจ้าสาวจะวัดได้จากจำนวนกระดุม หรือวัดจากความยาวเป็นนิ้ว ความยาวของถุงมือ จะเป็นตัวกำหนดด้วยอีกว่าควรจะนำไปใส่กับชุดแค่งงานแบบไหน โดยทั่วไปถุงมือที่ใช้สำหรับสวมสำหรับชุดแต่งงาน มี 3 แบบตามความยาวถุงมือ ดังนี้

แบบที่ 1-ถุงมือเจ้าสาวที่มีความยาวระดับข้อมือ (Wrist Length) 
ถุงมือเจ้าสาวแบบนี้มีความยาวระดับข้อมือหรืออาจจะสั้นกว่าหรือเลยข้อมือ เล็กน้อย โดยปกติยาวประมาณ 8-9 นิ้ว   ( 2 เม็ดกระดุม) ถ้าเจ้าสาวคนไหนอยากจะสวมถุงมือแต่ว่าอยากให้ถุงมือยาวคลุมแขนก็เลือกใช้แบบ นี้ได้ ถุงมือแบบนี้เหมาะกับชุดแต่งงานที่มีแขนยาว แม้ว้าถุงมือแบบนี้จะดูเป็นทางการน้อยกว่า เพราะค่อนข้างดูเรียบง่ายแต่ก็ยังทำให้ผู้ที่สวมใส่ดูสง่างามได้เช่นกันค่ะ 

 
แบบที่ 2-ถุงมือเจ้าสาวที่มีความยาวระดับข้อศอก (Elbow Length)
ถุงมือ
เจ้าสาวแบบนี้มีระดับความยาวประมาณข้อศอกอาจจะสูงกว่าหรือสั้นกว่า ข้อศอกเล็กน้อย โดยทั่วไปยาวประมาณ 18-19 นิ้ว (หรือ 12 เม็ดกระดุม)เหมาะกับชุดแต่งงานที่มีแขนสั้น และถุงมือแบบนี้จะทำให้แขนช่วงบนกลายเป็นจุดเด่น

 
แบบที่ 3-ถุงมือเจ้าสาวที่มีความยาวมากที่สุด Opera (Opera Length)
ถุงมือแบบนี้มีระดับความยาวมากที่สุดและเป็นทางการที่สุด ความยาวจะอยู่ประมาณรักแร้ โดยทั่วไปยาวประมาณ 27-29 นิ้ว (หรือ 16 เม็ดกระดุม) ถุงมือแบบนี้เหมาะกับการแต่งงานที่เป็นทางการ และเหมาะสำหรับชุดแต่งงานที่ไม่มีแขน หรือเกาะอก และถุงมือแบบนี้ยังช่วยให้คุณเจ้าสาว ไม่รู้สึกโล่งหรือโป๊จนเกินไป ในกรณีที่ใส่ชุดเปิดใหล่ หรือเกาะอก ชุดที่เน้นโชว์ช่วงคอค่ะ

 
**สำหรับเจ้าสาวที่ต้องการใส่ถุงมือแต่อาจไม่ถนัดนักหากต้องหยิบจับสิ่งของ ถุงมือเจ้าสาวจึงถูกออกแบบ มาเพื่อเจ้าสาวที่ชอบความสะดวกสบาย โดยการเปิดช่วงนิ้วมือเพื่อให้สะดวกมากขึ้น
ถึงแม้ว่าถุงมือจะทำให้เจ้าสาวดูหรูหรา และสง่างามขึ้นก็ตาม แต่ขอให้เจ้าสาวจำไว้เสมอว่าอย่าปล่อยให้ถุงมือ เด่นกว่าชุดแต่งงานของคุณโดยเด็ดขาด และสิ่งสำคัญคือเลือกถุงมือที่เข้ากับชุดเจ้าสาวของคุณทั้งสี และเนื้อผ้าด้วยนะคะ เพราะงานแต่งงานคุณเป็นคนสำคัญที่สุดค่ะ เพียงเท่านี้คุณก็เป็นเจ้าสาวในแบบที่คุณใฝ่ฝันได้ไม่ยาก...

Monday, April 2, 2012

Bridal Nail Art


เจ้าสาวในยุคปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับการตกแต่งเล็บให้สวยงามมากขึ้น การตกแต่งเล็บถือเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าชุดเจ้าสาว ร้องเท้า หรือเครื่องประดับต่างๆ ที่ถูกเลือกสรรมาใช้ในงานแต่งงานของคุณ ฉะนั้น เจ้าสาวไม่ควรละเลยความสวยงามของนิ้วมือ และเล็บที่จะต้องดูแลพิเศษ สำหรับคำคืนที่พิเศษ เพราะแขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่คงต้องคอยจ้องมองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาวเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็จะเป็นโอกาสที่เจ้าสาวจะได้อวดนิ้วมือที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม ให้แขกทั้งงานได้ชื่นชมด้วยค่ะ  ดังนั้น นิ้วมือของเจ้าสาวจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งใดเลย


ลักษณะหรือเทรนด์ของการตกแต่งเล็บ เจ้าสาวในวันแต่งงานช่วงปี 2012 จะมีการดีไซด์หรือใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในเล็บเพิ่มขึ้น ถ้าเจ้าสาวเล็บสั้นหรือเล็บไม่สวยก็สามารถต่อเล็บให้ยาวและสวยงามขึ้นได้ อาจแต่งด้วยการทาเล็บแบบฝรั่งเศส พร้อมประดับด้วยชุดตกแต่งสำหรับเล็บรูปดอกไม้หรืออื่นๆ หรือจะประดับด้วยเพชรเทียม พลอยเทียม ก็สามารถทำได้เต็มที่
แต่คุณเจ้าสาวควรระลึกไว้เสมอนะค่ะว่า สำหรับงานแต่งงานที่ค่อนข้างเป็นทางการ และมีผู้ใหญ่มาร่วมงานเยอะ การแต่งเล็บไม่ควรให้โดดเด่นจนเกินงาม ควรจะทำให้ไปในทิศทางเดียวกับชุดเจ้าสาว โดยเฉพาะสีของเล็บเจ้าสาว ทางที่ดีควรเป็นสีโทนธรรมชาติ เช่นขาว ครีม เนื้อ หรือสีเดียวกับชุด แต่เราสามารถทำให้สวยสะดุดตาได้ด้วยรูปร่าง ลักษณะ และของประดับตกแต่งบนเล็บค่ะ ส่วนถ้าเป็นงานแต่งงานที่ไม่เป็นทางการ เป็นงานที่เลี้ยงฉลองกันในหมู่เพื่อนฝูงแขกผู้ใหญ่มีน้อย เจ้าสาวก็สามารถแต่งเล็บได้เต็มที่ค่ะ
**เจ้าสาวบางท่านอาจจะเลือกที่จะทาสีเล็บหรือตกแต่งเล็บให้มีลักษณะที่แตกต่าง หรือตรงข้ามไปจากชุดเจ้าสาวเลยก็ได้ค่ะ





 โทนสีเล็บของเจ้าสาวที่จะทาหรือเพ้นท์เล็บ ทำในวันหมั้นหรือวันแต่งงาน แนะนำว่าไม่ควรที่จะลืมให้ความสำคัญ เพราะอาจเป็นห่วงแต่เรื่องแต่งหน้า และ แบบทรงผมเจ้าสาว จนมองข้ามมือและเล็บไป เพราะไม่เหมือนเป็นวันปรกติทั่วไป ที่เราสามารถเลือกสีหรือลายเล็บได้ตามใจชอบ เป็นวันที่เราจะเป็นคนสำคัญ โดดเด่น และต้องยกมือไหว้แขกที่มาร่วมงานเกือบตลอดวัน เป็นเป้าสายตาที่สุด ในวันแต่งงานของตัวเอง การเลือกสีหรือลายเล็บของเจ้าสาวที่จะทาหรือเพ้นท์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้

สีผิวของเจ้าสาว น่าจะเป็นข้อที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ ของการเลือกโทนสีเล็บ เพราะสีผิวเป็นส่วนที่ชัดเจน และเป็นส่วนที่ตัดหรือดูกลมกลืนกับสีของเล็บที่สุด หลักการเบื้องต้นของการเลือกโทนสีทาเล็บสำหรับเจ้าสาว


-เจ้าสาวเป็นคนผิวขาวมาก ให้เลือกสีโทนแดงออกชมพู

-เจ้าสาวเป็นคนผิวขาวปานกลาง ให้เลือกโทนแดงเข้ม หรือ สีไวน์

-เจ้าสาวเป็นคนผิวสีแทน ให้เลือกสีโทนส้มแดง น้ำตาล

-เจ้าสาวเป็นคนผิวคล้ำ ให้เลือกสีโทนแดงสด ม่วงเข้ม หรือ สีเงิน

บุคลิก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าสาว ควรที่จะต้องคำนึงถึง การเลือกโทนสีของเล็บด้วย จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราเลือกลายหรือสีเล็บตามคำแนะนำ แต่เมื่อเจ้าสาวทำไปแล้ว ขัดกับบุคลิกตัวเอง หรือไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่ใช่บุคลิกของตัวเอง ถ้าเป็นเจ้าสาวบุคลิกดูเปรี้ยวๆ ชอบสีเล็บสไตล์สดใส แต่ต้องมาทาสีเล็บหวานๆ ทำให้รู้สึกขัดกับบุคลิกของตัวเอง ทำให้เคอะเขินไม่มั่นใจ นั่นอาจทำให้เกิดข้อเสียมากกว่าข้อดี **ดังนั้นสิ่งสำคัญควรหาสีทาเล็บหรือ ลายเพ้นท์เล็บของเจ้าสาว ที่ดูเหมาะกับโอกาส และเลือกให้เข้าบุคลิกของตัวเอง ในวันแต่งงาน น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณค่ะ




Tuesday, March 13, 2012

ธีมงานแต่งงาน

ในการจัดงานแต่งงาน อันดับแรกก่อนที่จะลงมือวางแผนในเรื่องอื่น ๆ เราต้องเลือกธีมของงานแต่งงานก่อน เพราะการกำหนดธีม (Wedding Theme Ideas) เป็นสิ่งที่จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมไอเดียจัดงานแต่งงานได้อย่างชัดเจนขึ้น และเป็นเรื่องง่ายหาก ต้องการใส่แนวคิด ความคิดสร้างสรรค์ และสามารถกำหนดองค์ประกอบอื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น เพียงคำนึงถึงธีมของงานที่เลือกไว้

องค์ประกอบหลักที่สามารถใช้เป็นธีมงานแต่งงาน หรือไอเดียของการจัดงานแต่งงาน อาจจะเป็นแบบที่ชอบ สไตล์ที่ชอบ หรือ สีที่คุณชอบก็ได้ค่ะ วันนี้เราจึงนำไอเดียการจัดงานแต่งงานธีมสีต่าง ๆ มาให้ชมกันค่ะ

ธีมแต่งงานสีชมพู (Pink Wedding)





ธีมแต่งงานสีแดง(Red Wedding)





ธีมแต่งงานสีทอง(Gold Wedding)





ธีมแต่งงานสีเขียว(Green Wedding)





ธีมแต่งงานสีเหลือง(Yellow Wedding)





ธีมแต่งงานสีน้ำตาล(Brown Wedding)



Thursday, March 8, 2012

รูปแบบในการจัดเลี้ยงที่เหมาะกับงานแต่งงานของคุณ


ในการจัดงานแต่งงานมีหลายอย่างที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ รูปแบบการจัดเลี้ยงที่จะต้องคิดว่าจะทำอย่างไร ให้ แขกที่มาร่วมงานประทับใจ ไม่มีวันลืม ซึ่งมีหลายรูปแบบให้เลือกแต่จะเป็นรูปแบบไหนที่ตรงใจถูกใจคุณลองมาดูกันค่ะ กับ 3 รูปแบบการจัดเลี้ยงหลัก ๆ ที่คุณควรรู้

ค็อกเทล (Cocktail)

เป็นรูปแบบการจัดเลี้ยงที่นิยมจัดในงานเลี้ยงแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ มีการจัดทั้งในอาคารและ ในพื้นที่กลางแจ้ง รวมทั้ง ริมสระน้ำ มีลักษณะไม่เป็นพิธีการมากนัก  “ค็อกเทล”เป็นเครื่องดื่มผสมตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นเหล้า ผสมที่ให้บริการที่บาร์ งานเลี้ยงแบบค็อกเทลจึงเน้น บริการเครื่องดื่มทั้งแบบมีแอลกอฮอล์ (Hard Drink) และไม่มีแอลกอฮอล์ (Soft Drink) โดยจะจัดบริการอาหารประเภทอาหารว่างอาหารทานเล่น รวมถึงอาหารเรียกน้ำย่อยไว้ให้แขกร่วมงานเดินเลือกหยิบรับประทานตามชอบ เหมาะสำหรับการจัดเลี้ยงแขกจำนวนมาก

ในงานเลี้ยงจะไม่มีโต๊ะอาหารจัดให้แขกนั่งรับประทาน มีเพียงโต๊ะวางอาหารตั้งไว้เป็นส่วนกลาง อยู่มุมต่างๆ และบริเวณ
ส่วนกลางของงาน เปิดโอกาสให้แขกร่วมงานเดินไป มารอบงานเพื่อทักทาย เจ้าภาพและพบปะ สังสรรค์กับผู้ร่วมงานอื่นๆ
ระหว่างงานเลี้ยงพนักงานจะเดินถือถาดเสิร์ฟเฉพาะเครื่องดื่มไปตามบริเวณต่างๆของงาน ให้แขกได้เลือก และถือแก้ว
เครื่องดื่มไว้ในมืออาหารที่บริการจะจัดวางไว้เรียบร้อยก่อนเริ่มงาน ปริมาณและความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับเจ้าภาพซึ่ง
เป็นผู้กำหนดส่วนใหญ่ จะเป็นอาหารชิ้นเล็กขนาดพอคำที่หยิบรับประทานได้สะดวก เพื่อแกล้มไปกับเครื่องดื่ม โดยใช้ไม้จิ้มขึ้นมารับประทาน ในโรงแรมขนาดใหญ่นิยมจัดจานขนาดเล็กไว้ที่โต๊ะวางอาหารเพื่อให้แขกใส่อาหารรับประ ทานภายในงาน และจัดวางเก้าอี้ไว้ตามมุมต่างๆ ของงาน เพื่อให้นั่งพักได้ 

อาหารที่บริการมีทั้งคาวหวานแต่จะไม่ใช่ประเภทอาหารมื้อหลัก ที่ทำให้ผู้รับประทานอิ่มท้อง เหมือนงานเลี้ยง แบบอื่น แขกร่วมงานจึงสามารถรับประทานอาหารมื้อค่ำหลังจากงานเลิกได้ ปัจจุบันในโรงแรมขนาดใหญ่มีการจัดเพิ่มซุ้มบริการอา หารที่มีผู้ปรุง และตักใส่ถ้วยหรือจานขนาดเล็ก ให้แขกร่วมงานตามมุมต่างๆ ของงานและเจ้าภาพยังอาจให้โรงแรมจัดโต๊ะ ว่างจำนวนไม่มากให้แขกสำคัญ นั่งรับประทานได้ นิยมเริ่มประมาณ 18.00 น. จึงเป็นงานเลี้ยงที่เลิกได้เร็วกว่าแบบอื่น แขกสามารถอำลาออกจากงานได้ตามความสะดวก การคิดราคาจะคิดเป็นราคาต่อแขก 1 คน




บุฟเฟ่ (Buffet)

เป็นรูปแบบที่นิยมมากในทุกโอกาส สามารถจัดได้ในที่ต่างๆ ทั้งในอาคารและนอกอาคาร เป็นการเลี้ยง อาหารที่ไม่เป็นพิธีการมาก โดยเปิดโอกาสให้แขกร่วมงานสามารถเลือกตักอาหารรับประทาน ได้เองตามความพอใจ การจัดบริการอาหาจะใช้โต๊ะใหญ่จัดวางอาหารเรียงรายอย่างสวยงาม บนถาดขนาดใหญ่ตามประเภท และลำดับของอาหาร ตั้งแต่อาหาร เรียกน้ำย่อย อาหารหลัก อาหารหวานนานาชนิดในปริมาณที่มากกว่างานเลี้ยง แบบค็อกเทลเพราะจัดในเวลา
มื้ออาหารหลักที่แขกสามารถทานได้อิ่มท้อง ต๊ะบุฟเฟต์ที่วางอาหารนี้อาจวางไว้กลางห้องหรือมุมห้อง หรือกระจายเป็น หลายโต๊ะ ในงานขนาดใหญ่ที่มีแขกมาก เจ้าภาพะเตรียมจัดที่นั่งโดยตั้งโต๊ะอาหาร ในปริมาณเพียงพอสำหรับให้แขก ได้นั่งรับประทานทุกคน โดยอาจระบุโต๊ะเพื่อให้แขกกลุ่มเดียวกันได้นั่งด้วยกัน บนโต๊ะอาหารทุกที่นั่งอาจจัดวางช้อนส้อม แก้วน้ำไว้ หรือในบางแห่งอาจเป็นเพียงโต๊ะว่าง และจัดวางภาชนะอุปกรณ์ เช่น จาน ช้อนส้อม ถ้วยชาม ฯลฯ ไว้ที่โต๊ะบุฟเฟต์ แขกจะเดินเรียงเข้ามาหยิบภาชนะอุปกรณ์ และเลือกตักอาหารใส่จานแล้วนำกลับไปนั่งรับประทานที่โต๊ะ เมื่อทานเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถลุกขึ้นไปตักอาหารประเภทอื่นใส่ภาชนะใหม่ได้อีกตามต้องการ

ขณะที่พนักงานจะคอยเสิร์ฟเครื่องดื่ม และเก็บจานเก่าที่แขกรับประทานเสร็จออกไปจากโต๊ะ เพื่อให้แขกสามารถ นำอาหารจานใหม่มานั่งรับประทานต่อไปได้ นอกจากนั้น อาจมีพนักงานคอยบริการช่วยตักแบ่งอาหารบางอย่างให้ ที่โต๊ะบุฟเฟต์ รวมทั้งคอยเติมอาหารที่ พร่องไปในถาดบริการบนโต๊ะบุฟเฟต์ ปริมาณและความหลากหลายของอาหาร ในงานเจ้าภาพจะเป็นผู้กำหนด โดยผู้จัดบริการอาหารจะคิดราคาเป็นราคาต่อคน และเตรียมจัดอาหารไว้ล่วงหน้าก่อน งานเริ่ม หรือ ก่อนเริ่มมื้ออาหารนั้นให้เพียงพอกับจำนวนคนที่ได้จองไว้ การจัดบริการแบบบุฟเฟต์เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะอาหารที่บริการไม่จำเป็นต้องรอให้ครบจึงเสิร์ฟ ผู้รับประทานสามารถเห็นอาหารทุกอย่างที่จัดวางอย่างสวยงาม หลากหลายและเลือกรับประทานตาม ความชอบใจอย่างอิสระ เวลาเริ่มงานสำหรับอาหารเย็นประมาณ 18.30 น.




โต๊ะจีน (Chinese Set)

เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมในการจัดเลี้ยงสำหรับโอกาสทั่วไป การบริการอาหารมีลักษณะคล้ายแบบครอบครัว เพราะอาหารทุกอย่างจะยกมาจากครัวโดยปรุงแต่งเรียบร้อย และจัดใส่จานหรือชาม ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งไม่สามารถส่งต่อ
ให้กันบนโต๊ะได้ จึงต้องวางไว้กลางโต๊ะให้ผู้รับประทานบริการตัวเอง หรือช่วยตักแบ่งกันเองบนโต๊ะ ดังนั้น จึงใช้โต๊ะกลมเสมอเพื่อให้แขกทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะเอื้อมมือ ไปตักได้ถึง บรรยากาศงานเลี้ยงแบบโต๊ะจีน จึงเอื้อต่อการจับกลุ่มชุมนุมสังสรรค์กันที่โต๊ะ พนักงานบริกรเป็นผู้นำอาหารจากครัวมาเสิร์ฟที่โต๊ะ และมีหน้าที่คอยเก็บ อาหารลำดับจานที่แล้วออกไป เมื่อแขกรับประทานเรียบร้อย และบริการน้ำดื่ม หากในบรรยากาศที่ค่อนข้างเป็นพิธีการ อาจมีพนักงาน มาคอยตักแบ่งอาหารให้ทุกคนแทนที่แขกจะลุกขึ้นตักแบ่งกันเอง

รายการอาหารทุกโต๊ะจะเป็นชุดเดียวกันซึ่งกำหนดล่วงหน้าโดยเจ้าภาพงาน ประมาณ 8 – 12 อย่างต่อชุดและเสิร์ฟ
ทีละอย่างตามลำดับ สำหรับแขกนั่งได้ 8 – 12 คน แต่นิยม 10 คนต่อโต๊ะ เพื่อให้เอื้อมถึงอาหารได้สะดวก บนโต๊ะ
จะเตรียมจัดวางอุปกรณ์ประจำแต่ละที่นั่ง ได้แก่ จานเล็ก ถ้วย (ชาม) ใบเล็ก ช้อน ตะเกียบ แก้วน้ำ เป็นต้น ในภัตตาคารชั้นดีอุปกรณ์จะใช้เครื่องกระเบื้อง เครื่องเงิน เครื่องแก้วคุณภาพดี มีที่วางพักตะเกียบและช้อนเงินด้ามยาว
ในงานขนาดใหญ่ที่มีแขกมากมายเจ้าภาพอาจระบุโต๊ะไว้เพื่อจัดให้กลุ่มแขกที่รู้จักกันได้นั่งด้วยกัน ตามปกติ
ปริมาณ และประเภทอาหารที่บริการในโต๊ะจีนจะเตรียมไว้ให้แขกได้อิ่มท้อง แต่เนื่องจากต้องรับประทานด้วยกัน
จึงต้องรอให้แขกมาครบก่อนจึงจะเริ่มเสิร์ฟพร้อมกัน ในงานเลี้ยงตามโรงแรมขนาดใหญ่นิยมเสิร์ฟในเวลาอาหารค่ำ ซึ่งจะเริ่มประมาณ 19– 20.00 น. เป็นต้นไป จึงจะจบรายการอาหาร การคิดราคาอาหารจะคิดราคาต่อโต๊ะ