วันแห่งความรักของชาวจีน
เรื่อง
เล่าอันเป็นที่รู้จักกันดีซึ่งเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ เป็นเรื่องระหว่าง
"คนเลี้ยงวัวและสาวทอผ้า” นานมาแล้ว
มีเด็กชายกำพร้าคนหนึ่งอาศัยอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้
เนื่องจากเขาช่วยพี่ชายเลี้ยงวัว ชาวบ้านจึง เรียกเขาว่า คนเลี้ยงวัว
เมื่อคนเลี้ยงวัวโตเป็นหนุ่ม พี่ชายกับพี่สะใภ้ก็แบ่งสมบัติให้เขาเป็นวัว 1
ตัว กับคันไถ 1 อัน ดังนั้น เขาจึงถางป่าผืนหนึ่งบริเวณตีนเขา
แล้วปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตามลำพัง
วันหนึ่งคนเลี้ยงวัวก็ต้องแปลกใจเมื่อวัวที่เขาเลี้ยงพูดได้
มันพูดกับเขาว่า "จริง ๆ แล้วข้าก็คือดาววัวบนท้องฟ้า ข้าทำผิดกฏของฟ้า
จึงถูกเนรเทศลงมาอยู่เมืองมนุษย์ ข้าว่าถึงเวลาที่เจ้าจะมีเมียกับเขาเสียที
ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เจ้า จะพลาดไม่ได้
พรุ่งนี้เจ้าจะต้องเดินทางไปด้านหน้าของภูเขาแล้วเจ้าจะพบป่าแห่งหนึ่ง
ด้านข้างของป่าจะมีทะเลสาบแห่งหนึ่ง จะมีผู้หญิงหลายคนเล่นน้ำอยู่
ให้เจ้าหยิบเสื้อผ้าของพวกนางชุดหนึ่งที่เป็นชุดสีแดงแล้วซ่อนตัวรอพบกับ
เจ้าของชุดสีแดงที่ ค้นหาเสื้อผ้าอยู่ นางนั้นจะได้เป็นเมียของเจ้า
ถ้าอยากมีเมียเจ้าจงอย่าลืมทำตามที่ข้าบอก พรุ่งนี้วันเดียวเท่านั้น"
วันรุ่งขึ้น คนเลี้ยงวัวก็ทำตามที่วัวตัวนั้นบอก
เขาได้พบกับนางที่เป็นเจ้าของชุดสีแดงและได้เล่าความเป็นมาของ
เขาให้นางผู้นั้นฟัง นางก็เล่าความเป็นมาของนางให้เขาฟังว่า
" ข้าชื่อ
สาวทอผ้า เป็นหลานสาวของพระแม่เจ้าบนสวรรค์
เมฆที่ท่านเห็นอยู่เป็นผลงานของข้าเอง พระแม่เจ้าให้ข้าทำงานทั้งวันทั้งคืน
ไม่มีเวลาพัก ข้ารู้สึกเหมือนถูกคุมขัง คนทั่วไปคิดว่าข้างบนนั้นน่าอยู่
แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ข้าไม่เคยมีอิสระ ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวันกับเขา
พอมีโอกาสข้าจึง ชวนพี่ ๆ น้อง ๆ หนีลงมาเที่ยวเมืองมนุษย์
โลกมนุษย์นี้ช่างสวยงามจริง ๆ "
ชายเลี้ยงวัวจึงชวนสาวทอผ้าอยู่ด้วยกันและได้แต่งงานอยู่กินกันอย่างมีความ
สุข
จนเวลาล่วงเลยมาได้ 7 ปี
ซึ่งเท่ากับ 7
วันในเมืองสวรรค์ และทั้งคู่มีลูก 2 คน ชาย-หญิง
ฝ่ายพระแม่เจ้าบนสวรรค์เมื่อรู้เรื่องนี้เข้าจึงลงมาเมืองมนุษย์นำตัวสาวทอ
ผ้ากลับขึ้นไปบนสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง
คนเลี้ยงวัวจึงพาลูกทั้งสองใส่หาบลงเรือแล้วเหาะไปบนเมฆตามพระแม่เจ้าและสาว
ทอผ้าขึ้นไปบนสวรรค์โดยการช่วยเหลือ ของวัวพ่อสื่อเจ้าเก่า
แต่ระหว่างทางพระแม่เจ้าได้เนรมิตทะเลกว้างที่มีคลื่นลูกใหญ่มาขวางกั้นไว้
แต่ด้วยความรักของคนเลี้ยงวัว
กับสาวทอผ้าที่มีให้กันจึงบันดาลให้มีนกกระสานับพันตัวรวมตัวกันจนเป็นสะพาน
นกกระสาวาดเป็นเส้นโค้งข้ามทะเลนั้นไปได้
พระแม่เจ้าเห็นแก่ความรักของทั้งสองจึงยอมให้ทั้งคู่พบกันได้ทุกวันที่ 7
เดือน 7 ของทุกปี นับตั้งแต่นั้นมา ทุกวันที่ 7 เดือน 7
ชาวจีนจะสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากคนเลี้ยงวัว
และสาวทอผ้าเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตของตน
และมารู้จักกับ เทศกาล "ทานาบาตะ" แห่งแดนอาทิตย์อุทัย
ประวัติ
เทศกาล
ทานาบาตะมีต้นกำเนิดจากเทศกาล "ราตรีแห่งเลขเจ็ด"
ที่เฉลิมฉลองกันในเมืองจีน ราชสำนักญี่ปุ่นแห่งเกียวโตรับเข้ามาในสมัยเฮอัน
(พ.ศ.1337-1728) ก่อนที่จะเผยแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านช่วงในยุคเอโดะตอนต้น
(ยุคเอโดะเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2246 ตรงกับช่วงราชวงศ์บ้านพลูหลวงของสยาม)
จากนั้นก็เทศกาลนี้ก็เริ่มเข้ามาผสมผสานกับประเพณี "โอบง" (お盆)
ซึ่งเป็นประเพณีการเคารพวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของชาวพุทธใน
ญี่ปุ่น เนื่องจากประเพณีโอบงเดิมนั้นมีขึ้นในวันที่ 15 ของเดือน 7
ซึ่งใกล้กันกับเทศกาลทานาบาตะที่ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7
ตามปฏิทินจันทรคติของญี่ปุ่น ซึ่งอาจคลาดเคลื่อนจากปฏิทินจีน 1-2
วันเท่านั้น
ในช่วงยุคเอโดะนั้น
เหล่าเด็กหญิงจะขอพรให้ตนมีทักษะเย็บปักถักร้อยดีขึ้น
ส่วนเด็กชายจะพากันขอให้ตนมีทักษะเขียนได้ดีขึ้นโดยเขียนขอพรไว้บนแถบกระดาษ
ซึ่งจะใช้น้ำค้างกับใบต้นเผือกมาทำหมึกสำหรับเขียนขอพร ต่อมา
เมื่อญี่ปุ่นหันมาใช้ปฏิทินแบบเกรกอเรียน (ปฏิทินสากลในปัจจุบัน)
ซึ่งเป็นปฏิทินสุริยคติที่อ้างอิงตามดวงอาทิตย์
ทำให้ประเพณี"โอบง"จัดกันในวันที่ 15 สิงหาคมกันเป็นส่วนใหญ่
ส่งผลให้มีการกลับมาจัดเทศกาลทานาบาตะ และประเพณีโอบงแยกกัน ตัวอักษรจีน
七夕 ของเทศกาล"ราตรีแห่งเลขเจ็ด" เมื่ออ่านแบบญี่ปุ่นจะได้ว่า "ชิชิเซกิ"
(Shichiseki - しちせき)
เชื่อกันว่าพิธีชำระล้างให้บริสุทธิ์ของลัทธิชินโตจะมีขึ้นในช่วงนี้พอดี
ซึ่งมิโกะ (นักบวชหญิงของลัทธิชินโต) จะสวมชุดพิเศษที่เรียกว่า "ทานาบาตะ"
(棚機/たなばた) เพื่อขอพรให้สวรรค์ปกป้องคุ้มครองพืชผลจากสายฝนหรือพายุ
และขอให้เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึง
พิธีของชินโตนี้ได้ค่อยๆรวมผสานกับเทศกาล "ราตรีแห่งเลขเจ็ด" ที่ญี่ปุ่นได้รับมาจากจีน จนกลายเป็นเทศกาล"ทานาบาตะ" นี้ครับ
ตำนานแห่งเทศกาลทานาบาตะ
ตำนาน
รักหนุ่มเลี้ยงสัตว์และสาวทอผ้าของญี่ปุ่น
จะใกล้เคียงกันกับตำนานต้นตำรับทางฝั่งจีน กับตำนานฝั่งเกาหลี
มีเนื้อเรื่องอยู่ว่า "โอริฮิเมะ" (織姫 - เจ้าหญิงทอผ้า) เป็นธิดาของเทพ
"เทนเทย์" (天帝 - จักรพรรดิผู้ปกครองสวรรค์) มีหน้าที่ถักทอผืนผ้าอันงดงาม ณ
ริมฝั่งแม่น้ำ "อามาโนะกาวะ" (天の川 - แม่น้ำแห่งสวรรค์
หมายถึงทางช้างเผือก) เทพเทนเทย์หลงใหลในผ้าที่ลูกสาวของตนทอเป็นอย่างมาก
ทำให้นางต้องทำงานหนักทุกๆวัน
โอริฮิเมะจึงหดหู่มาเพราะจากการทำงาน
หนักนี้ ทำให้นางไม่ได้พบพานและมีความรักกับใครสักคนเลย
เทพเทนเทย์ก็เลยกังวลเรื่องของลูกสาว
เลยเป็นพ่อสื่อแนะนำให้ลูกสาวได้รู้จักกับ "ฮิโคโบชิ" (彦星)
หนุ่มเลี้ยงสัตว์ซึ่งทำงานอยู่อีกฝั่งของสายน้ำอามาโนะกาวะ
เมื่อทั้งคู่เจอกันก็ตกหลุมรักและตกลงปลงใจแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อ
ทั้งคู่แต่งงานแล้ว โอริฮิเมะก็เริ่มไม่ค่อยได้ทอผ้าให้แก่บิดาของตน
ฮิโคโบชิก็เริ่มละเลยงานจนวัวของเขาเพ่นพ่านไปทั่วสวรรค์
เมื่อเทนเทย์ทราบเข้าก็โกรธ
เลยจับแยกคู่รักทั้งสองไว้คนละฝั่งของสายน้ำอามาโนะกาวะ
และไม่อนุญาตให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกเลย
โอริฮิเมะที่พลัดพรากจากสามีก็โศกเศร้ามาก
นางอ้อนวอนขอร้องให้บิดาของนางอนุญาตให้เธอพบกับฮิโคโบชิอีกครั้ง
เท
นเทย์เลยเริ่มใจอ่อน จึงยอมให้ทั้งคู่มาเจอกันได้ในวันที่ 7 เดือน 7
ถ้าโอริฮิเมะทอผ้าเสร็จสิ้นลง เมื่อทั้งคู่จะมาพบกัน
ต่างฝ่ายก็ไม่สามารถมาเจอกันได้เพราะไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำนี้
โอริฮิเมะก็ร้องไห้
จนเหล่านกกระสาต่างสงสารและพากันบินมาเกาะกลุ่มกันเป็นสะพานให้โอริฮิเมะได้
ก้าวข้ามไปบนปีกของพวกตน ถ้าเกิดฝนตกลงมาในค่ำคืนเทศกาลทานาบาตะ
ฝูงนกกระสาจะไม่สามารถบินมายังแม่น้ำอามาโนะกาวะได้
โอริฮิเมะกับฮิโคโบชิจะต้องเฝ้ารอแต่ละฝ่ายจนกว่าจะถึงปีถัดไป
ธรรมเนียม
สำหรับ
ญี่ปุ่นยุคปัจจุบันแล้ว
ชาวญี่ปุ่นจะฉลองเทศกาลนี้ด้วยการเขียนถึงความหวังของตน
บางครั้งก็เขียนเป็นกลอนลงบน"ทันซากุ" (短冊) ซึ่งเป็นแถบกระดาษเล็กๆ
แล้วนำไปห้อยกับต้นไผ่
ที่บางครั้งก็เอาอย่างอื่นมาประดับตกแต่งต้นไผ่ไปด้วย
ของประดับต้นไผ่นี้จะนำมาลอยในแม่น้ำ หรือเอามาเผาหลังจบเทศกาลนี้
ซึ่งมักเป็นช่วงเที่ยงคืนหรือในวันถัดไป
ที่มา : wikipedia